โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์พัทยาทั้งในปี พ.ศ. 2566 และปีหน้า พ.ศ. 2567 ซึ่งเป้าหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงพัทยาจากเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญให้กลายมาเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมและตลาดที่อยู่อาศัยชั้นนำ เนื่องมาจากการคาดการณ์ว่าอสังหาริมทรัพย์ในพัทยามีแนวโน้มที่จะมีมูลค่าสูงขึ้น รวมไปถึงจะมีการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น และมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่น่าจับตามอง ส่งผลให้ตลาดการลงทุนในแถบนี้มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งเจ้าของธุรกิจในท้องถิ่นและบริษัทข้ามชาติ เป็นที่มั่นใจว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพัทยาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางบวกในช่วงปี พ.ศ. 2566 - 2567 ตามกลยุทธ์เชิงรุกของโครงการ EEC อย่างแน่นอน
อีอีซี หรือโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐาน มีการจัดทำ พ.ร.บ. อีอีซีขึ้นในปี พ.ศ. 2561 มีกฎหมายรองรับอย่างเป็นรูปธรรมและมีองค์กรกำกับดูแลอย่างเป็นทางการ ซึ่งโครงการอีอีซีนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อต่อยอดการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือที่เรียกว่า ‘อีสเทิร์นซีบอร์ด’ ที่มุ่งเน้นไปยัง 3 จังหวัดหลัก ได้แก่ ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา และระยอง ในขณะเดียวกันเป้าหมายหลักของโครงการอีอีซีคือการปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่ให้มีความทันสมัย และส่งเสริมการแข่งขันในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการผลิตยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, การท่องเที่ยว, การดูแลสุขภาพ และการเกษตร ซึ่งการแข่งขันเหล่านี้จะนำไปสู่การสร้างประเทศไทยให้เป็นจุดศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลก
แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยรัฐและเอกชน PPP
ผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
โครงการอีอีซีมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีมูลค่ากว่า 650,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นรูปแบบการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) โดยรัฐลงทุน 200,000 ล้านบาท (32%) และเอกชนลงทุน 450,000 ล้านบาท (68%) ด้วยตัวเลขการลงทุนที่สูงเช่นนี้คาดการณ์ว่าทางภาครัฐอาจได้ผลตอบแทนมากถึง 450,000 บาทเลยทีเดียว
การส่งเสริม 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย
ดึงการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงในอีอีซีด้วยการใช้แนวทาง ‘S - Curve’ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้ง 12 อุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมและผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่
เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาพื้นที่ที่มีวิสัยทัศน์ให้เป็น “ศูนย์กลางทางธุรกิจและการเงินระดับภูมิภาค” โดยมีการร่างแผนพัฒนาบนพื้นที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ดินขนาดประมาณ 15,000 ไร่ และขนาด 5,000 ไร่สำหรับการพัฒนาระยะแรก จุดมุ่งหมายให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยในอนาคต ที่มีมนุษย์ ธรรมชาติ และเทคโนโลยีอยู่ร่วมกัน อีกทั้งยังตั้งใจผลักดันให้เป็น Smart City 1 ใน 10 ของโลกภายในปี พ.ศ. 2580
แนวทางการพัฒนา Smart City 7 ด้าน
1. Smart Environment - ระบบจัดการน้ำแบบเปิด (Zero Discharge), จัดการขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste) และการจัดการอากาศคาร์บอนเป็นศูนย์ (Zero Carbon) รวมไปถึงการจัดให้มีพื้นที่สีเขียวอัจฉริยะ (Smart-park)
2. Smart Economy - เทคโนโลยีการเงินและเศรษฐกิจอัจฉริยะ
3. Smart Energy - พัฒนาความยั่งยืนผ่านแหล่งพลังงานหมุนเวียน ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และระบบบริหารจัดการพลังงานในอาคารประเภทต่าง ๆ
4. Smart Governance - ระบบบริการเบ็ดเสร็จครบวงจiเมืองอัจฉริยะ (Smart City OSS) และการจัดการข้อมูลเมือง เพื่อเพิ่มความโปร่งใส ประสิทธิภาพ และการมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านเทคโนโลยี
5. Smart Living - สาธารณสุข, อารยสถาปัตย์, หุ่นยนต์บริการ AI, ระบบรักษาความปลอดภัย, ระบบเตือนภัยพิบัติ และการดูแลผู้สูงอายุ
6. Smart Mobility - การสร้างระบบขนส่งในเมืองที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระบบขนส่งสาธารณะ ITSและถนนเพื่อทุกคน
7. Smart Citizens - เทคโนโลยีการศึกษา (EdTech), แพลตฟอร์มนวัตกรรม, โครงสร้างพื้นฐานเรียน - เล่น - ทำงาน
ประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ EEC
1. มีเมืองรองรับประชาชน 1 ล้านคนภายในปี พ.ศ. 2580
2. สร้างงานทางตรงกว่า 200,000 ตำแหน่ง มูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2575
3. เกิดธุรกิจ Start-up กว่า 150 - 300 กิจการ
4. มีเมืองที่น่าอยู่ ปลอดภัย ทันสมัย และมีคุณภาพสิ่งแวดล้อมเทียบเท่าระดับสากล ภายในปี พ.ศ. 2580
5. เกิดเครือข่ายการสัญจรที่ทันสมัยและสะดวกสบาย
ประโยชน์กับประเทศโดยรวม
1. เกิดเมืองรองมาตรฐานใหม่ ที่มีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตระดับนานาชาติ รองรับประชากรใน 20 ปี
2. เกิดการลงทุนประมาณ 1.34 ล้านล้านบาท ภายใน 10 ปี เพิ่มขีดจำกัดการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
3. สร้าง GDP ให้ประเทศรวม 2 ล้านล้านบาท ภายใน 10 ปี ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด - 19
4. สินทรัพย์ตกเป็นของรัฐเมื่อสิ้นสุดสัญญา 50 ปี ซึ่งจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 5 เท่าจากปัจจุบัน
ด้วยวิสัยทัศน์ของอีอีซี ในการเปลี่ยนแปลงให้พัทยาเป็นศูนย์กลางการลงทุนระดับโลก จะส่งผลให้ชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาเพื่อลงทุนโดยตรง และแรงกระเพื่อมนี้จะส่งผลต่อความต้องการอสังหาริมทรัพย์ทั้งการอยู่อาศัยและพาณิชยกรรมอย่างแน่นอน
ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2563 - 2566 ราคาอสังหาริมทรัพย์ในพัทยาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมและอาคารพาณิชย์ ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นว่าตลาดกำลังมีการเปลี่ยนแปลงและจะขับเคลื่อนไปในทิศทางบวกต่อไป รายละเอียดต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าราคาตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพัทยากำลังเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามหากจะคาดการณ์สภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์พัทยาในอนาคตระหว่างปี พ.ศ. 2567 - 2569 ดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นด้วยแรงผลักดันจากการพัฒนาโครงการอีอีซีให้เสร็จสมบูรณ์ รายละเอียดต่อไปนี้เป็นแนวโน้มบางส่วนที่คาดว่าโครงการอีอีซีจะส่งผลกระทบต่อราคาอสังหาริมทรัพย์ในพัทยา
Disclaimer: ข้อมูลที่ให้ไว้ข้างต้นนี้เป็นเพียงความรู้ทั่วไปเท่านั้น แม้ว่าเราจะค้นคว้าเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลนี้ถูกต้องแม่นยำ ณ วันที่เขียน แต่เราไม่สามารถรับประกันความน่าเชื่อถือของเนื้อหานี้ได้อย่างสมบูรณ์ เราไม่แนะนำให้ใช้ข้อมูลนี้เพื่อการตัดสินใจใด ๆ เพียงทางเดียว เนื่องจากบทความนี้ไม่ใช่คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ปรับให้เหมาะสมกับการลงทุนส่วนบุคคล หากคุณต้องการใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจ คุณต้องยอมรับความเสี่ยงในการใช้งานด้วยดุลยพินิจของคุณเอง และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนทำการตัดสินใจเลือกสิ่งสำคัญเสมอ
ค้นหาอสังหาฯ ในพัทยา