ลูกบ้านในโครงการ “แอชตัน อโศก” เข้าร้องเรียนกับสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หลังศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งถอดถอนใบอนุญาต การก่อสร้างอาคาร มีผู้เสียหายกว่า 20 รายที่ต้องการขอยกเลิกสัญญาพร้อมคืนเงินเต็มจำนวนและดอกเบี้ย โดยในขณะนี้มีการแจ้งความร้องทุกข์เป็นมูลค่าสูงถึง 69 ล้านบาท ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความเพิ่มเติมจนกว่าบริษัท อนันดาดีเวลลอปเม้นท์ ที่เป็นผู้ดูแลโครงการจะพิจารณาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตามคาดว่าในวันที่ 23 สิงหาคมนี้จะมีการเสนอแนวทางแก้ไข 5 แนวทางร่วมกับผู้เสียหาย ได้แก่
1. การยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างใหม่ โดยการหาที่ดินเพิ่ม
2. เสนอการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่านสำนักงานโยธาไปยังกรมโยธาธิการและผังเมืองกระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งต่อไปยัง ครม.
3. เสนอการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่าน รฟม. เพื่อนส่งต่อไปยัง ครม.
4. ทบทวนสิทธิที่ดินบริเวณทางเข้า-ออกจาก รฟม. ก่อนการเวนคืน5. ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองให้มีการพิจารณาคดีใหม่อีกครั้ง
ที่มา: https://www.thansettakij.com/real-estate/573047
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. นำโดยคณะบริการกทม. ได้มีการประชุมหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าของโครงการแอชตัน อโศก ที่กำลังมีปัญหาในขณะนี้ กรมโยธาธิการได้ประชุมสรุปมติตั้งคณะกรรมปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุญาตก่อสร้างอาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่พิเศษ ซึ่งจะมีการตรวจสอบข้อมูลและกระบวนการทั้งหมด โดยกรณีคดีพิพาทของโครงการ แอชตัน อโศก กำลังอยู่ในระหว่างออกคำสั่งขออนุญาตก่อสร้างใหม่ตามมาตรา 41 นอกจากนี้ผู้ว่าฯ กทม. ยังกล่าวถึงการทุจริตในกระบวนการอนุญาตก่อสร้างอีกด้วย โดยได้รับปากว่าจะดำเนินการหากพบหลักฐานทุจริต นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยเกี่ยวกับการส่งเสริมการขอใบอนุญาตก่อสร้างทางออนไลน์และแชร์ข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับผังเมืองของกรุงเทพฯ โดยเน้นแนวทางการพัฒนาที่มีความชัดเจนและเป็นขั้นเป็นต้น
ที่มา: https://www.thansettakij.com/real-estate/572808
ในปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีแนวโน้มที่ผู้คนหันมาเลี้ยงสัตว์มากขึ้น โดยมีจำนวนครัวเรือนที่มีสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านตัวในปี 2560 มาเป็น 1.45 ล้านตัวในปี 2564 ซึ่งส่วนทางกับอัตราเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กำลังคว้าโอกาสทางตลาดแนวใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่ “Pet Residence” คอนโดมิเนียมเป็นมิตรต่อสัตว์เลี้ยง ที่รองรับทั้งการอยู่อาศัยทั้งคนและเพื่อนรักขนปุยโดยมีโซนและสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะให้กับน้อง ๆ ซึ่งผู้พัฒนารายใหญ่ในด้านนี้ ได้แก่ โครงการของออริจิ้นแคมป์, โครงการวิสซ์ดอม, เดอะ ฟอเรสเทียส์ และดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ เป็นต้น ในขณะเดียวกัน CEO ของเมเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์ ได้กล่าวถึงการขยายตัวของตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยง โดยได้มีการคาดการณ์ว่าจะมีอัตราเติบโตทั่วโลกต่อปีอยู่ที่ 7.2% และ 8.4% ของตลาดในประเทศไทย และมูลค่าทางตลาดอาจแตะสูงถึง 6.67 หมื่นล้านบาทในปี 2569 นอกจากนี้ผลการสำรวจโดยวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยง 80.7% มีสถานะ “โสด” ในขณะเดียวกัน 19.3% มีสถานะสมรส โดยกลุ่มตัวอย่างประมาณ 18% ได้บอกว่า เลี้ยงสัตว์เพื่อช่วยเหลือและช่วยบำบัดรักษา (Pet Healing) อีกทั้งสัตว์เลี้ยงยังมีประโยชน์ เช่น เพิ่มความสุข ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของสารออกซิโทซินถึง 20% เลยทีเดียว
ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/property/1082762
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเผชิญกับกำลังซื้อที่ซบเซาอย่างหนักจากแนวโน้มการส่งออกที่ติดลบ หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 90.6% รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมือง ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้มีการชะลอการเปิดโครงการใหม่โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม และเพื่อรับมือกับวิกฤติการณ์ครั้งนี้นักพัฒนาจึงกระจายโครงการบ้านหรูที่เรียกว่า “Low Projects” เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่พร้อมสำหรับการเข้าอยู่ อีกทั้งยังมุ่งเน้นไปยังตลาด EEC และพื้นที่ท่องเที่ยวอย่าง ภูเก็ต เพื่อกระตุ้นยอดขายและกระจายรายได้ ในขณะที่ครึ่งปีแรกของปี 2565 ตลาดมีการเปิดตัวโครงการจำนวน 179 โครงการ แบ่งเป็น 24,167 ยูนิต มูลค่ารวม 6.8 หมื่นล้านบาท โดยในปีนี้ตัวเลขดังกล่าวลดลง 6.2%, 21% และ 12% ตามลำดับเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/property/1082337
ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมือง ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากผู้ซื้อส่วนใหญ่ใช้เวลาในการตัดสินใจอย่างระมักระวังและใช้เวลาในการตัดสินใจนานขึ้น อย่างไรก้ตาม CEO ของบริษัท พราวเอรียลเอสเตท ได้กล่าวว่า แม้ขณะนี้กำลังซื้อยังคงมีอยู่ แต่ผู้ซื้อใช้เวลาศึกษาข้อมูลและติดตามสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจมากขึ้น มีการตัดสินใจที่รอบคอบมากขึ้นโดยเน้นวิธีการรอดู ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวจะเห็นได้ชัดเจนจากโครงการระดับลักซ์ชัวรี ซึ่งกระบวนการตัดสินใจได้ขยายจากไม่กี่เดือนสู่การเยี่ยมชมบ้านหลายครั้งมากขึ้น เนื่องจากผู้ซื้อส่วนใหญ่มองหาบ้านเพื่อการอยู่อาศัยมากกว่าการลงทุน สร้างความเปลี่ยนแปลงในการเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่มั่นคงมากขึ้น ดังนั้น พราว เรียลเอสเตท จึงมุ่งเน้นกลยุทธ์การตลาดที่ตรงเป้าหมาย รวมถึงขยายตลาดสู่ต่างประเทศ เช่น เมียนมาร์ โครงการรอมคอนแวนต์เมื่อเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 พราว เรียลเอสเตท ได้รายงานการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นและความสามารถในการทำกำไรได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจและปรับปรุงการนำเสนอโครงการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายต่อไป
ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/property/1082983